สะเก็ดข่าวศาสนาตลอดปี 2549 โดย...ปี้ส่าง
เป็นข่าวใหญ่โตสุดท้ายก่อนอวสานรัฐบาลทักษิณ ถูกจัดเรตติ้งเป็นข่าวดังอันดับ 2 ของประเทศไทย ในปี 49 ความดังที่ว่านี้มีหลายสาเหตุ ทั้งจากเหตุที่ท่านธัมมชโยเป็นเจ้าอาวาสวัดที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประเทศไทย มีทรัพย์สินมากที่สุดถึงหลายหมื่นล้าน กิ่งก้านสาขาก็มากมายทั้งในและต่างประเทศ มีการออกนิตยสาร สื่อสาร เว๊บไซต์ แม้กระทั่งมีดาวเทียมเป็นของตนเอง พระธัมมชโยไม่ต้องอาศัยใครช่วยโฆษณาก็สามารถออกอากาศได้ตามใจปรารถนา ศาสนิกหรือก็ล้นวัด ขนาดว่าที่ดินนับพันๆ ไร่ที่ซื้อไว้นั้น เชื่อไหมว่าจัดงานใหญ่เข้าจริงๆ ปรากฏว่า "ไม่พอจอดรถ" ถ้าไม่มีชนักติดหลังเรื่อง สร้างสัทธรรมปฏิรูปเมื่อปี 2542 แล้วละก็ ธัมมชโยคงลอยไกลไปจนถึงระดับสันตะปาปาแห่งนครรัฐวาติกันนั่นทีเดียว แต่โบราณว่า ถ้าบุญญาวาสนาไม่ถึงก็อย่าเขย่งเท้าเดินเลย ปวดเสียเปล่า ประเดี๋ยวเขาก็รู้ว่าหมู่หรือจ่า ดังนั้น เรื่องนี้ต้องขยาย...
กล่าวกันตามที่เห็นและเป็นไป ปี้ส่างมิได้มีอคติกับท่านธัมมชโยเป็นการเฉพาะ ผลงานการสร้างวัดก็ดี สำนักเรียนก็ดี หนังสือหนังหาก็ดี ที่วัดพระธรรมกายทำออกมานั้น ยอมรับว่าดูดีกว่าผลงานของวัดในประเทศไทยหลายหมื่นวัด อาจจะรวมทั้งวัดบวรนิเวศวิหาร วัดมหาธาตุ วัดสระเกศ พวกนี้ด้วย แต่ที่ต้องออกมาตราหน้าอย่างรุนแรง ก็เพราะพฤติกรรมของคณะวัดพระธรรมกาย ต่อกรณี ที่พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) วัดญาณเวศกวัน นครปฐม ท่านได้ออกเอกสารชี้แจงกรณีที่วัดพระธรรมกายได้ออกเอกสารระบุว่า "พระนิพพานเป็นอัตตา" นั่นแหละ
ในฐานะที่พระธัมมชโยเป็นถึงพระราชาคณะเจ้าอาวาสมีพระมากที่สุดในประเทศไทย ได้รับการยอมรับในระดับสากลว่า "เป็นนักปราชญ์" ในทางพระศาสนาด้วยผู้หนึ่ง ซึ่งคุณสมบัติดังว่ามานี้ เมื่อมีหนังสือท้วงติงจาก พระเดชพระคุณพระพรหมคุณาภรณ์ ซึ่งท่านได้เขียนอย่างสุภาพ ยกหลักฐานต่างๆ ทั้งในพระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา เป็นต้น มาเทียบเคียงเพื่อให้สาธุชนได้ใช้ตรวจสอบลัทธิธรรมกาย ตอนนั้น เราคาดหวังว่าจะได้เห็น "การชี้แจงอย่างสุภาพเหมาะสมกับภูมินักปราชญ์เจ้าสำนักใหญ่ระดับโลกของ
พระธัมมชโย"
แต่เปล่าเลย ธัมมชโยนอกจากจะมุดหัวอยู่แต่ในกุฏิ ไม่ยอมชี้แจงแถลงไขในเรื่องที่ตัวเองกระทำลงไปแล้ว ยังให้สมุนบริวารออกเอกสารโจมตีพระเดชพระคุณพระพรหมคุณาภรณ์อย่างข้างๆ คูๆ ใช้นามแฝงว่า "ชมรมสามเหล่าทัพ" บ้าง ว่า "ดร.เบญจ์ บาระกุล" บ้าง ส่วนตัวเองนั้นก็ใส่แว่นตาดำนั่งรถเข็นไปขึ้นศาล อ้างว่าป่วย ! แสดงความอ่อนแอให้คนเห็นในท่ามกลางสถานการณ์วิกฤติเกี่ยวกับตัวเองและสำนักเรียน ไม่มีความองอาจ ขาดความเป็นนักปราชญ์หรือผู้ดี ไม่มีการกระทำอย่างลูกผู้ชาย นี่แหละคือตัวจริงเสียงจริงของธัมมชโย ซึ่งต้องกับโบราณภาษิตที่ว่า "สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ" แต่สถานการณ์สำหรับธัมมชโยนั้นกลับกลายเป็นสร้าง "โมฆบุรุษ" ไปอย่างที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึก
พระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต ป.ธ.9)
วัดญาณเวศกวัน อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม
บุคคลที่พระธัมมชโยและเหล่ากัลยาณมิตรต้องคิดถึงไปจนวันตาย
หลังจากตะลอนขึ้นศาลสงฆ์และศาลอาญามาตั้งแต่ปี 2542นั้น ธัมมชโยก็ให้เหล่ากัลยาณมิตรวัดพระธรรมกายออกมาส่งเสียง "ขอความเป็นธรรม" เป็นระยะๆ อ้างว่าทำคุณงามความดีเพื่อประเทศชาติศาสนามามากมาย ควรจะนิรโทษกรรมท่านธัมมชโยเสีย แต่กระพรวนบนคอแมวนั้น นอกจากจะหาหนูใจกล้านำไปผูกได้ยากแล้ว หนูตัวที่จะนำกระพรวนออกก็ยิ่งหาได้ยากกว่า ดังนั้นคดีดัง "ธรรมกาย" เมื่อเข้าสู่ศาลอาญาแล้ว ตามหลักก็จำเป็นต้องดำเนินการไปจนสิ้นสุดกระบวนการ ซึ่งประมาณว่า คดีนี้จะสิ้นสุดในประมาณปลายปี 2549 แต่จะออกลูกผีหรือลูกคนก็ไม่มีใครทายใจศาลอาญาได้
การที่คดีอาญาของพระธัมมชโยจะเดินไปสุดทางนั้น แปลได้ 2 ความหมาย คือ 1.ถ้ารอด ก็เท่ากับว่าธัมมชโยเสมอตัว แต่ที่ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลมานานถึง 7 ปีนั้น ก็นับว่าเป็นเคราะห์กรรมมหันต์ และ 2.ถ้าศาลพิพากษาว่าธัมมชโยผิด ก็หมายถึงว่าต้องติดคุก ซึ่งพระที่ต้องคดีอาญาถึงติดคุกนั้นตามกฎหมายไม่สามารถจะเอาเข้าคุกทั้งผ้าเหลืองได้ ต้องเปลื้องผ้าเหลืองออกเสียก่อน หมายถึงว่า พระธัมมชโยต้องสึกสถานเดียว !
แต่ปัญหามันมิได้มีเพียงเท่านั้น เพราะท่านธัมมชโยนั้นเป็นถึงระดับปรมาจารย์ เป็นผู้ก่อตั้งวัดจนเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก วัดพระธรรมกายตั้งแต่เกิดจนโตขึ้นมาได้ทุกวันนี้นั้นก็เพราะท่านธัมมชโย การจับพระธัมมชโยสึกจึงเป็นการทำลายวัดพระธรรมกายจนถึงรากถึงโคน เพราะถ้าไม่มีพระธัมมชโย รับรองว่ากัลยาณมิตรคุมกันไม่ติดแน่ แต่ในฐานะที่วัดพระธรรมกายนั้นใหญ่โตรโหฐาน มีสาวกนับแสน การจะจับเจ้าสำนักสึกจึงมิใช่เรื่องง่าย รับรองว่าจลาจลแน่ แต่เหนือนิติศาสตร์ก็ยังมีรัฐศาสตร์ ซึ่งตรงนี้อัยการสูงสุดได้นำมาทำเป็นลูกกุญแจดอกที่สอง สำรองไว้ไขความสำหรับการไว้ชีวิตพระธัมมชโยและคณะวัดพระธรรมกายในครั้งนี้
ความเก่งกาจระดับซูเปอร์เซียนของทีมกฎหมายวัดพระธรรมกายนั้น ต้องขอยกนิ้วให้ว่า "ยอดเยี่ยมระดับโลก" ขอโฆษณาไว้ ณ ที่นี้เลยว่า ถ้าใครไหนต้องคดีอะไร ไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก ก็ขอให้ไปติดต่อท่านธัมมชโยเพื่อขอให้ทีมทนายมาช่วยว่าความให้ เพราะไม่น่าเชื่อว่า เรื่องใหญ่ระดับประเทศนั้น ทนายความทีมนี้สามารถปลดชนวนระเบิดปรมาณูลูกใหญ่ ขนาดสามารถทำลายอาณาจักรธรรมกายหลายหมื่นล้าน ให้หมดฤทธิ์ลงได้อย่างง่าย โดยใช้กุญแจดอกที่ชื่อว่า "สมานฉันท์" ผ่านมือนักปลดชนวนคดีทางการเมืองชื่อก้องโลก "ทักษิณ ชินวัตร"
ทีมกฎหมายวัดพระธรรมกาย ใช้ตรรกวิทยาที่ว่า ในเมื่อไม่มีหนูตัวไหนเป็นใจอยากไปปลดกระพรวนบนคอแมวออก ก็เห็นจำเป็นต้องใช้หนูตัวเดิมที่เอากระพรวนผูกคอแมวไว้นั่นแหละ ซึ่งในการฟ้องร้องต่อศาลอาญานั้นเป็นอำนาจหน้าที่ของอัยการสูงสุด อัยการสูงสุดจึงถูกกำหนดให้เป็นหนูตัวที่ต้องไปดึงเอากระพรวนบนคอแมวคือศาลอาญาออกมา เพราะผู้ผูกย่อมรู้ทางแก้ และสมการนี้แหละที่ทำให้วงการนักกฎหมายไทยต้องตะลึงเป็นคำรบสอง รองมาจากคดีซุกหุ้นของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งผ่านมาด้วยวาทะว่า "บกพร่องโดยสุจริต" นั่นเอง
ลำดับเหตุการณ์ระทึกใจในการ "ปลดชะนวนระเบิดวัดพระธรรมกาย" นั้นมีดังนี้
1. วันที่ 18 กรกฎาคม 2549 กระทรวงมหาดไทยได้กำหนดจัดงาน “รวมใจทุกศาสนา พัฒนาท้องถิ่นไทย ถวายองค์ราชา ครองราชย์ 60 ปี” ที่วัดพระธรรมกาย จ.ปทุมธานี มีการเชิญ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคไทยรักไทย ไปเป็นองค์ปาฐก
2. วันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ.2549 ศาลอาญารัชดา โดยนายสุนพ กีรติยุติ ผู้พิพากษาอาวุโส และองค์คณะ ออกนั่งบัลลังก์ อ่านคำสั่งอนุญาตให้ "ถอนฟ้อง" คดีที่พระราชภาวนาวิสุทธิ์ หรือ พระไชยบูลย์ ธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย และลูกน้องคนสนิท ตกเป็นจำเลยในข้อหายักยอกทรัพย์ เงินบริจาควัดมูลค่าเกือบ 1,000 ล้านบาท
โดยศาลอ้างเหตุผลว่า
1. เพราะว่าจำเลยได้คืนทรัพย์สนที่ฉ้อโกงมาจากวัดพระธรรมกาย จำนวน 1,000 ล้านบาท คืนให้แก่วัดหมดแล้ว2. ถ้าหากดำเนินคดีนี้ให้สิ้นสุด อาจจะเกิดความแตกแยกระหว่างพุทธศาสนิกชน ที่สังคมตั้งคำถามก็คือว่า การที่อัยการออกหน้าดึงเรื่องกลับมาจากศาลในครั้งนี้ ถ้าไม่มีคนที่ชื่อ "ทักษิณ ชินวัตร" ส่งสัญญาณให้แล้ว ลำพังอัยการจะกล้าหาญกระทำการเองหรือ หรือ ถ้าคิดจะทำ ทำไมไม่ทำตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ปล่อยให้คดีค้างคาศาลมานานถึง 7 ปีได้อย่างไร และทำไม พอทักษิณกลับจากวัดพระธรรมกายได้ เพียง 35 วัน ศาลก็ออกนั่งบัลลังก์สั่งถอนคดีตามคำขอของอัยการ ?????
ปิดท้ายรายการด้วย นายถวิล สมัครรัฐกิจ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้ออกมาประกาศว่า "เมื่อศาลสั่งจำหน่ายคดีอาญาแล้ว คดีทางสงฆ์ก็ถือว่าสิ้นสุดไปด้วย" แปลว่า สำเร็จ พระธัมมชโยพ้นบ่วงกรรมแล้ว บริสุทธิ์ผุดผ่องเป็นยองใย โดยไม่ต้องผ่านศาลไหนให้ตัดสินทั้งสิ้น ใช้ระบบ "ลอบบี้" หรือวิ่งเต้นมันจนวินาทีสุดท้ายนี่แหละ ตำราจีบของแม๊กอินทอชเขาว่า "ตื๊อเท่านั้นที่จะครองโลก" และมันก็เป็นทฤษฎีที่ยังเวิร์คอยู่ ใครไม่เชื่อก็ดูเอาเองเถิด
เรื่องนี้ในแวดวงพุทธศาสนิกชนคนไทยที่สนใจเรื่องหวยเรื่องเบอร์มากกว่าเรื่องพระธรรมวินัย ก็คงไม่มีใครคิดว่า "มันสลักสำคัญอะไร" เรื่องหลวงพี่น้ำฝนศิษย์หลวงพ่อพูลวัดไผ่ล้อม โดนห้ามให้หวยนั้นยังใหญ่กว่าเสียอีก เรื่องสำคัญระดับ "นักปราชญ์ทะเลาะกัน" นี้ จึงมีเพียงนักปราชญ์ไม่กี่คนเท่านั้นที่สนใจให้ความสำคัญ เชื่อไหมว่าถ้าปี้ส่างไม่นำเรื่องนี้มาฉายซ้ำ หลายคนดูเหมือนจะลืมเลือนไปแล้ว ที่ต้องบันทึกร่วมไว้ในหน้าเดียวกันก็คือว่า ผลงานการหลุดคดีนี้ของพระธัมมชโยนั้น นักปราชญ์ทางศาสนาเขาจัดให้เป็นผลงาน "โบว์ดำ" ชิ้นสุดท้ายของรัฐบาลทักษิณก่อนจะสิ้นอำนาจด้วย
http://www.alittlebuddha.com/html/Special%20Event/Special%20news2549.html
<< Home